วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงหน้าฝน ให้สตาร์ทติดง่าย

บทความ/สาระน่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์โตโยต้า

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงหน้าฝน ให้สตาร์ทติดง่าย

โพสต์โดย itctm » ศุกร์ 25 ก.ค. 2014 9:54 am

วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงหน้าฝน ให้สตาร์ทติดง่ายและไม่ดับเมื่อเจอน้ำท่วม
หลาย ๆ คนคงเจอปัญหารถสตาร์ทติดยากในช่วงหน้าฝน หรือไม่ก็กลัวรถดับในขณะขับลุยน้ำท่วม ทำให้ต้องลุ้นกันหลายครั้งกว่าจะถึงจุดหมาย ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้หากเราแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พร้อมหากเกิดปัญหาในยามคับขัน
รูปภาพ

การขับรถในสภาพน้ำท่วมพื้นถนนนั้น ถ้าเป็นน้ำท่วมในระดับผิวถนน คือระดับน้ำลึกไม่เกิน 6 นิ้ว ควรควบคุมความเร็วในการขับขี่ โดยขับให้ช้าที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่จากการวิ่งไหลเข้าห้องเครื่อง ยนต์ หรือห้องเกียร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจร เครื่องยนต์ดับได้ และทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพได้ แต่ถ้าน้ำท่วมสูงถึงท้องรถ ให้ขับรถยนต์ช้าที่สุด และสังเกตการวิ่งของรถยนต์คันข้างหน้า เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้รถวิ่งตกหลุมถนน หลังจากนั้นแล้วควรตรวจสอบประสิทธิภาพของเบรก เพราะเป็นส่วนที่จมน้ำตลอดเวลา ทดสอบได้โดยการเร่งเครื่องยนต์สลับกับการเบรก เพื่อรีดน้ำออกจากผ้าเบรก และเพื่อให้น้ำที่ขังอยู่ในจานเบรกระเหย


สาเหตุส่วนใหญ่ ที่ทำให้เครื่องยนต์ดับระหว่างการขับรถยนต์ในสภาพน้ำท่วม คือ น้ำหรือความชื้นเข้าเครื่องยนต์ จึงควรหมั่นตรวจสอบระบบไฟจุดระเบิด สามารถตรวจเช็คได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากสายคอยล์จุดระเบิดที่ควรอยู่สูงกว่าระดับปกติ จากนั้นจึงตรวจสอบยางหุ้มสายคอยล์ จานจ่าย หรือปลั๊กหัวเทียนใหม่ ถ้ามีสภาพที่ผิดรูปหรือแข็งจนเกินไปควรเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ พร้อมทั้งเพิ่มการป้องกันความชื้นด้วยการใช้สเปรย์กันความชื้น



นอกจากนี้ ควรตรวจสอบระบบไดชาร์จของแบตเตอรี่ โดยทำความสะอาดบริเวณขั้วแบตเตอรี่ไม่ให้เกิดขี้เกลือ ถ้ามีขี้เกลือ ให้ล้างด้วยน้ำร้อนบริเวณขั้ว ขัดด้วยกระดาษทราย หรือแปรงลวด แล้วใช้จาระบีทาบริเวณขั้ว และระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรกอุดตันรูระบายอากาศของแต่ละจุกแบตเตอรี่ สายไดชาร์จต้องอยู่ในสภาพปกติพร้อมใช้งานเพื่อส่งผ่านประจุไฟฟ้าและรองรับ การชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานปกติ หรือเพื่อความมั่นใจสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ที่มีกำลังส่งกระแสไฟฟ้า สูงกว่าปกติจากเดิมประมาณ 35-45 แอมแปร์ ซึ่งเป็นกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในสภาพท้องถนนปกติและสามารถรองรับการทำงานของระบบ ต่างๆ ในรถยนต์ได้ เป็นกำลังไฟฟ้าประมาณ 50-65 แอมแปร์ เพื่อป้องกันกำลังไฟฟ้าตกระหว่างขับรถในสภาพฝนตกและน้ำท่วม


ที่สำคัญควรนำรถยนต์เข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ อุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ หรือในบางกรณีควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และเติมน้ำกลั่นให้แบตเตอรี่ เพื่อให้รถยนต์สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ต้องกังวลใจเวลา ขับ


ที่มา:www.rakcar.com
itctm
สมาชิก
 
โพสต์: 127
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. 04 ต.ค. 2012 9:13 am

ย้อนกลับไปยัง บทความ/สาระน่ารู้เกี่ยวกับรถยนต์โตโยต้า



ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน

cron